วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชาวมายาหายไปไหน

 ทุกวันนี้นักโบราณคดียังคงศึกษาอาณาจักรมายันเพื่อไขปริ ศนากันต่อไป ทอม เชฟเวอร์ นักโบราณคดีหนึ่งเดียวขององค์การนาซาจากศูนย์การบินอ วกาศมาร์แชล ก็เป็นคนหนึ่ง เชฟเวอร์และทีมงานทำการศึกษาซากเมืองเพเตนในประเทศกั วเตมาลา ซึ่งติดกับพรมแดนเม็กซิโก โดยการขุดค้นหาหลักฐานใต้พื้นดินและใช้รีโมตเซนซิ่งห าหลักฐานที่สายตามนุษย์ มองไม่เห็น 


   สิ่งที่เชฟเวอร์ค้นพบใต้พื้นดินทั่วทั้งบริเวณของ เมืองร้างแห่งนี้คือเรณูของต้นหญ้าแทนที่จะเป็นเรณูข องต้นไม้ใหญ่ หลักฐานนี้แสดงว่าป่าไม้ของเมืองเพเตนลดลงกินบริเวณก ว้างเมื่อประมาณ 1,200 ที่ผ่านมา 

    ทีมงานบอกว่าเมื่อไม่มีป่าฝนก็จะเกิดการกัดเซาะและกา รระเหยของน้ำ และการกัดเซาะจะรุนแรงจนกวาดเอาปุ๋ยที่หน้าดินไปจนหม ดสิ้นหลักฐานการกัดเซาะได้ถูกค้นพบในชั้นดินตะกอนในทะเลสา บ 

ยิ่ง ไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปกคลุมพื้นดินคือป่า ไม้จะทำให้อุณหภูมิสูง ขึ้น บ๊อบ โอเกิลส์บี นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศของศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลห นึ่งทีมงานใช้แบบจำลอง คอมพิวเตอร์คำนวณผลแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 5-6 องศาเซลเซียส การที่อุณหภูมิสูงขึ้นมีผลทำให้ผืนแผ่นดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะต่อการเจริญ เติบโตของพืช 
    นอกจากนั้นอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผลกระทบต่อ การมีฝนด้วย ดังนั้นในฤดูแล้งเมืองเพเตนจะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ ขณะที่น้ำใต้พื้นดินก็ลึกถึง 500 ฟุต จนไม่สามารถจะขุดนำมาใช้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวมายาจะต้องอาศัยการเก็บกักน้ำใน อ่างเก็บน้ำแต่มันก็คงจะ ระเหยไปจนไม่ทันได้ใช้ 

    ขณะที่อาณาจักรมายันมีประชากรจำนวน มากซึ่งจำเป็นจะต้องใช้อาหารและน้ำเป็นจำนวนมากด้วย การศึกษาพบว่าประมาณคริสต์ศักราช 800 เมืองของชาวมายามีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมาก ในพื้นที่ชนบทมีประชากร 500-700 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ และ 1,800-2,600 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ในบริเวณศูนย์กลางของอาณาจักรทาง ตอนเหนือของประเทศ กัวเตมาลา พอๆ กับนครลอสแองเจลิสในปี 2000 ซึ่งมีประชากร 2,345 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 950 ก็เกิดความหายนะ " บางทีราว 90-95% ของชาวมายาต้องตายไป" เชฟเวอร์กล่าว 

    หลัก ฐานที่สนับสนุนความเป็นไปได้ก็คือ การพบว่ากระดูกของชาวมายาซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวสองสาม ทศวรรษก่อนอาณาจักรมา ยันจะล่มสลายซึ่งแสดงว่าเป็นโรคขาดอาหารอย่างรุนแรง 

       เชฟเวอร์ สรุปการศึกษาในครั้งนี้ว่า นักโบราณคดีเคยโต้เถียงกันมานานว่า สาเหตุของการล่มสลายว่าเป็นเพราะความแห้งแล้ง หรือสงคราม หรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ทีมงานของเขาคิดว่าทั้งหมดล้วนมีบทบาท ทว่าสาเหตุหลักก็คือ การขาดอาหารและน้ำอย่างยาวนาน ซึ่งเกิดจากความแห้งแล้งทางธรรมชาติผสมผสานกับการทำล ายป่าไม้ของมนุษย์ และ เขาคิดว่าการเรียนรู้ว่าชาวมายาทำอะไรถูกต้องและทำอะ ไรผิดพลาดจะช่วยให้ ประชาชนพบวิถีทางที่ยั่งยืนในการทำการเกษตร โดยจะหยุดยั้งการทำสิ่งที่เลยเถิดในช่วงเวลาอันสั้น ซึ่งเคยทำลายชาวมายามา แล้ว
 



ภาพ : สัญลักษณ์ของชาวมายา



ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก : http://www.thaigaming.com/forward-mail/71632.htm

ชาวมายามาจากไหนแน่ ?


   นักโบราณคดีหลายคน ต่างพยายามศึกษาความเป็นมาของเผ่านี้ จากหลักฐานโบราณคดีที่เหลืออยู่ แต่ก็สับสนอยู่ดีว่าพวกเขามาจากไหนกันแน่
    มี ศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เขียนข้อความอย่างละเอียดเต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ซึ่งแสดงว่าชาวมายามีภาษาเป็นของตนเองและชอบบันทึกปร ะวัติศาสตร์ แต่..น่าเสียดาย ในข้อความศิลาจารึกนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่อ่านออก ตีความได้สักคนเดียว

     สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมายา สันนิษฐานว่า ชาวมายาอาจสืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล ไม่ก็กรุงทรอย คาร์เธจ ฮั่น แอตแลนติส ฯลฯปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์ ใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จั กใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง

   นอกจากนี้ ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้น เหล่าเชลยศึกสงครามจะถูกชาวมายาฆ่าเพื่อเอาเลือดไปถว ายเทพ(บางครั้งก็เลือก กันเองในเผ่า)

    แน่นอนมีตำนานเกี่ยวกับที่มาของชนเผ่านี้ด้วย จากคำบอกเล่าว่ากันว่า ชาวมายาสืบเชื้อสายจากพระเจ้าผิวสีขาว มีเครายาว และเดินทาง


อาณาจักรมายามีซากสิ่งก่อสร้างหลายแห่งหลายที และแต่ละที่นั้นถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกทั้งสิ้น 
  • ติ กัล (Tikal) มีพีระมิดของชาวมายา สูง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องมากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน
  • เปเตน (Peten)
  • ปาเลงเก (Palenque) มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยปากัล พบหลุมศพจำนวนมากและในวิหารแห่งศิลาจารึก (Temple of the Inscriptions)
  • ซีบิลชัลตุน (Dzibilchaltun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls
   นัก โบราณคดียุคปัจจุบันต่างตื่นตะลึงกับสิ่งก่อสร้างอัน มหัศจรรย์มากมายของชาว มายาซึ่งไม่ใช้เครื่องมือโลหะในการก่อสร้างเลย เช่น วิหารรูปทรงพีระมิด ราชวังและหอดูดาว เป็นต้น ยอดพีระมิดของชาวมายาจะแบนราบต่างจากพีระมิดของชาวอี ยิปต์ พีระมิดที่เมืองติกัลสูงถึง 212 ฟุต บนส่วนยอดมีห้องมากมาย และแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพ ราชวังของเมืองติกัลเป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องมากถึง 42 ห้อง และเมืองอักซ์มัลมีโรงละครขนาดใหญ่ มันช่างอลังการเหลือเกินอย่าว่าแต่สมัย โบราณเลย เพราะจนถึงปัจจุบันนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้นับ ว่ายากมากๆ
นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานถึงทฤษฏีพระเจ้าจากอวกาศ
หลัก ฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลป มายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเค้าล้วนพิลึกกึกกือเป็ นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือค่ะ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ 



ชาวมายาคือใคร และอยู่ตรงไหน ?


     อาณาจักร มายา ตั้งอยู่ในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่มากเพราะมีพื้นที่กินถึง ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส
   ตามประวัติ อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองไพศาลมาก มีอายุยาวนานนับได้ 2000ปี ตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 อาณาจักรแห่งนี้มีซากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตน่าทึ่งที่สุด ไว้เป็นมรดกโลก และฝากปริศนาให้คนรุ่นหลังขบคิดกันว่าเกิดจากสาเหตุใ ด
    อาณาจักร มายาเป็นอาณาจักรแสนยิ่งใหญ่ที่ประกอบด้วยเมืองเอกหล ายเมืองด้วยกันมีเมือง สำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมือง อิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน

     เมืองของชาวมายาประกอบด้วยชุมชนเกษตรอยู่ชั้นนอก ชุมชนเมืองอยู่ชั้นในล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นบริ เวณสิ่งก่อสร้างที่ใช้ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างนั้นมีหลายแบบ เช่น ปิรามิด วิหาร ปละปราสาทราชวัง ซึ่งสร้างจากศิลาล้วนๆ บ่บอกความเจริญรุ่งเรืองของชาวมายาอย่างดี

   ในระหว่างปี พ.ศ. 800-1450 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืดแห่งอวิ ชชา แต่สำหรับชาวมายานั้น ตามประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ในระยะเวลาดังกล่าว อารยธรรมมายาได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดมากๆได้สร้างพีร ะมิดและพระราชวังที่ มโหฬารและวิจิตรอลังการมากมาย




วันสุดท้ายของปฏิทินชาวมายันคือ 21 ธันวาคม 2012


       ชาวมายันเชื่อว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นวันเกิดใหม่ เป็นการเริ่มต้นของ the World of the Fifth Sun
      เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ ดวงอาทิตย์เดินทางผ่านเส้น equator ของ Galaxy และโลกจะปรับทิศทางให้เข้ากับศูนย์กลางของ Galaxy ดวงอาทิตย์จะขึ้นเชื่อมกับการทับกันของทางช้างเผือกกับระนาบของ Ecliptic บนท้องฟ้าจะปรากฏดาวเคราะห์ และดวงดาวต่างๆมากมาย 

     ปรากฏการณ์ของจักรวาลครั้งนี้ถือว่าเป็น The Sacred Tree, The Tree of Lifeการที่ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ Galaxy ในปี 2012 จะเปิดช่องทางหนึ่งสำหรับพลังงานจักรภพที่จะไหลผ่านโลก ล้างโลกให้สะอาด รวมทั้งล้างสิ่งที่อาศัยอยู่ ยกทั้งหมดสู่ภาวะที่สูงขึ้น สรุปคือโลกแตกดับเพื่อการเกิดใหม่นั่นเอง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนให้ความสนใจถึงปีสุดท้ายของโลก

    โดยอ้างถึงศาสตร์แขนงต่าๆ อย่างทางด้านวิทยาศาสตร์มองว่าในปี 2012 จะเกิเหตุการณ์ที่ชื่อว่า แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว หรือ Pole Shift เป็นกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดีซึ่งอาจจะก่อให้เกิด 

- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)
- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ
- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก
- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม
- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น
-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม


จากความเชื่อและคำทำนายต่างๆ


จากความเชื่อ และคำทำนายอาถรรพ์วันล้างโลก ภัยพิบัติต่างๆ ที่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
เรื่อยๆ  จนเป็นที่น่าจับตาว่า ในปี คริสต์ศักราช 2012 กำลังจะเกิดวันสิ้นโลก
 ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่ตามปฏิทินของชาวมายัน ชนเผ่ามายา อารยธรรมอเมริกา
กลาง บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซ และกัวเตมาลา  ราวศตวรรษที่ 3-16
ก่อนคริสตกาล บันทึกไว้ว่า โลกกำลังจะถึงกาลปาวสาน




















     
      ปฏิทินของชาวมายันต่างกับปฏิทินทั่วไป ที่เดินต่อไปข้างหน้า ในขณะที่ปฏิทินของเผ่า
มายา ใช้วิธีการนับถอยหลัง จนถึงจุดเลข จุดสิ้นสุดในปี 2012 โดยวงจรของปฏิทิน
ประกอบไปด้วย 13 ช่วง หรือ “แบ็กทันโดยแบกทันสุดท้ายอยู่ในช่วงของ ค.ศ.1606 ถึง
21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ( พ.ศ. 2555 )
ชาวมายัน มีความสามารถพิเศษที่ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า พวกเขาไม่ต่างอะไร
จากมนุษย์ยุคหิน แต่พวกเขาสามารถคำนวณว่า ปีบนดาวศุกร์มีจำนวณ 584 วัน และวัน
ของโลกเรามี 365.2420 วัน ซึ่งตามการคำนวณในปัจจุบันปรากฏว่า หนึ่งปี มี 365.2422
วัน   ความคลาดเคลื่อนเพียงน้อยนิดทำให้เห็นถึงความแม่นยำแบบไม่น่าเชื่อ
เมื่อเชื่อมโยงคำทำนายต่างๆของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง ก็เชื่อว่า มีสัญญาณ
บางอย่างเชื่อมโยงกัน เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ 

    ข้อแรก จะมีสงครามย่อยๆเกิดขึ้น ต่อมาเป็นความอดอยากของมนุษยชาติ และ
สามเป็นเรื่องภัยพิบัติ ความแปรปรวนของน้ำทะเล และสุดท้ายจะเป็นโรคระบาด


  เปรียบเทียบกับยุคต่างๆของโลกจะได้ลำดับดังนี้
1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
6 6.0.0.0.0 1155 – 761 BC สงครามม้า
7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
8 8.0.0.0.0 366 BC – ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่
ทั้งนี้ มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเรื่องราวของชาวเผ่ามายา ซึ่งความเชื่อมโยงเหล่า
นี้ เป็นจุดที่อาจมีการเชื่อมโยงกับสิ่งลึกลับที่อยู่นอกโลก ทั้งการโคจรของโลกที่
เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศจากใต้โลก เกิดพลังงานลึกลับที่จะ
เปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะ
ถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลก เนื่องจากดวง
อาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี



     รูปสลักภาพวาดนี้ เป็นอีกหนึ่งหลักฐานปริศนา ที่มีลวดลายลึกลับซับซ้อน เมื่อสังเกต
ภาพจะเห็นบางส่วนมีลักษณะคล้ายพระเจ้า ขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของ
พระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ พวกเขารู้จักอาวุธ ที่มีลักษณะ
คล้่ายกับ ปืน กันแล้วหรือ เป็นข้อสงสัยของนักโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง

         ตามปฏิทิน ระบุว่า เรากำลังอยู่ในช่วงปลายของ วัน แห่งระบบจักรวาล ซึ่งระยะเวลา
วัน แห่งระบบจักรวาลนั้นกินระยะเวลา ยาวนานถึง 25,625 ปี และแบ่งได้เป็น ช่วง
ช่วงละ 5,125 ปี ซึ่งขณะนี้เราอยู่ในช่วงปลายของช่วงที่ 5
ศาสตร์ของชาวมายันนั้นระบุว่า  ทุกๆ 5,125 ปี ดวงอาทิตย์จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่าง
ที่สัมพันธ์กับศูนย์กลางทางช้างเผือก  ดวงอาทิตย์จะได้รับ “ประกายไฟ
(Spark of light) ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงและส่งผ่านความร้อนรุนแรงมากตามที่นัก
วิทยาศาสตร์เรียกว่า “Solar Flares” ทำให้ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลง 

Credit :  http://news.mthai.com/hot-news/136653.html

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

21 ธันวาคม 2012 วันโลกแตกจริงหรือ?

   สวัสดีค่ะ blogger ทุกท่าน เจอกันครั้งแรกก็มาแนวโลกแตกซะแล้ว ดูจากชื่อเหมือนจะออกแนวลัทธินะคะความเชื่อเรื่องโลกแตกมีอยู่หลายแนวความคิด


        ถ้าถามว่าทำไม? ก็คงบอกได้แค่อยากให้คนอื่นรู้ เพราะมันเป็นอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ว่าจะจริง หรือเท็จ ผู้ที่เหลือรอดไปจนถึง2012จะได้รู้ แล้วโลกของเรา จะเสียหายอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องของมะนาว โลกเปลี่ยน แม่เหล็กเหนือได้ บทความต่อไปนี้เป็นการสรุปเหตุการที่จะเกิดขึ้นใน2012 โลกเปลี่ยนแปลง(เอง)
    
        การทำนายนั้นอยู่คู่กับสังคมของเรามานาน โดยเฉพาะการทำนายธรรมชาติ เช่นการดูสีของท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายลม ดวงดาว แม้กระทั่งการมองเห็นด้วยจิต ที่สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและธรรมชาติได้ เหมือนที่เคยฮือฮากันไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อนาย กอร์ดอน (Gordon-Michael Scalion) ชาวอเมริกันที่เคยเสียชีวิตเมื่อปี 1979 แต่กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็อ้างว่า ได้รับพรสวรรค์ที่หยั่งรู้อนาคต เขามักจะเดินทางไปอยู่บนพื้นที่สูงๆ บนภูเขา แล้วมองลงมาเห็นภาพในอนาคต โดยเฉพาะภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และโลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่

       คนที่เชื่อถือนายกอร์ดอนนั้นมีไม่น้อย เพราะได้เคยฝากผลงานการทำนายที่แม่นยำเอาไว้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอส แองเจอริส เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535, เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนียเมื่อ มกราคม 2537 รวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาทายไว้แล้วก็ถูกเผง

      แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำนายเมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งเขาเห็นตัวเองลอยอยู่เหนืออวกาศ แล้วมองลงมาบนโลก ด้วยภาพแผนที่โลกใหม่ เขาจึงใช้เวลาอยู่ 4 ปี ที่จะร่างแผนที่โลกอนาคตที่เห็นคนเดียวนั้นออกมาสู่สายตาชาวโลก พร้อมทั้งให้คำอธิบายไว้ว่า โลกที่แปรเปลี่ยนไปนี้จะเกิดจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทำให้ทวีปของโลกเคลื่อนไปหมด และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1998-2012 หรือ พ.ศ.2541-2555 นั่นเอง